คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ “รถยนต์มือสอง” – รู้จัก Used Car แบบไม่ Useless
ทุกวันนี้ตลาดรถยนต์มือสอง (Used car, Second hand car) แพร่หลายมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก อาจเพราะตลาดรถยนต์มือสอง (used car market) มีเพิ่มมากขึ้น คนที่ชอบซื้อรถใหม่ก็ชอบเปลี่ยนรถยนต์กันบ่อยขึ้น ในขณะที่คนที่นิยมรถยนต์มือสองก็ยินดีที่จะใช้รถยนต์มือสองที่สภาพยังดี และยังมีสมรรถนะ (performance) ดี ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมค่อนข้างมาก และไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการซื้อรถยนต์มือหนึ่งป้ายแดง ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินค่าภาษีรถยนต์ใหม่ (sales tax on new car) ด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์มือสอง วิธีการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง พร้อมกับเรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่พบเจอในวงการเหล่านี้กันค่ะ
เริ่มแรก เรามารู้จักประเภทของรถยนต์กันก่อนดีกว่าค่ะ รถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนนั้นมีหลายประเภทมากค่ะ ขึ้นอยู่กับความชอบและลักษณะการใช้งานของแต่ละคน แบ่งได้เป็น 7 ประเภทหลัก หน้าตาตามนี้ค่ะ
1. รถเก๋ง หรือ Sedan | |
2. รถเก๋ง 5 ประตู หรือ Hatchback | |
3. รถยนต์เอนกประสงค์ หรือ Sport Utility Vehicle (SUV) | |
4. รถสปอร์ต หรือ Sports car | |
5. รถกระบะ หรือ Pick up truck | |
6. รถตู้ หรือ Van | |
7. รถจักรยานยนต์ หรือ Motorcycle |
พอเลือกสไตล์ที่ใช่ จากยี่ห้อที่ชอบได้แล้ว เราก็มาดูลักษณะ คุณสมบัติ หรือที่เราเรียกกันว่า function ของรถยนต์กันบ้าง พวก function ที่เป็นลักษณะเด่นๆ ของรถยนต์ ที่จะทำให้รถของเราแตกต่างจากรถรุ่นเดียวกัน เช่น ไฟตัดหมอก (fog light) แอร์อัตโนมัติ (automatic air conditioner) หลังคารับแดด (sunroof) หลังคาเปิดประทุน (convertible roof) ระบบสตาร์ทด้วยการกดปุ่ม (push start engine) เกียร์อัตโนมัติ (Automatic gear) เกียร์ธรรมดา (manual gear) เป็นต้น และรถยนต์รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นยังมีระบบขับเคลื่อนแบบผสมผสานทั้งพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และระบบน้ำมัน ที่เราเรียกกันว่า Hybrid car อีกด้วย ซึ่งรถยนต์รุ่นพวกนี้จะมีราคาสูงมากเมื่อเปิดตัวออกสู่ตลาดใหม่ๆ แต่ว่าราคาตกลง (price down) มากเช่นกันเมื่อถูกขายเป็นรถยนต์มือสอง นอกจากนี้ ยังมีสิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึงอย่างมาก เวลาจะเลือกซื้อรถยนต์มือสอง ได้แก่ จำนวนเจ้าของรถยนต์คันนั้นก่อนหน้าที่จะมาขายให้เรา Number of previous owners) ระยะทางที่รถยนต์ถูกใช้งานมา (mileage validation) เพราะถ้ารถถูกใช้งานมาเยอะ ก็อาจจะเสื่อมสภาพไปมากกว่ารถที่ถูกใช้งานมาน้อยกว่า ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติ (Accident or Natural disaster) ไม่ว่าจะเป็น รถถูกชน (crash) มาหรือไม่ ผ่านการซ่อมมาแล้วเยอะหรือไม่ (repair) หรือถูกขโมย (stolen car) มาหรือเปล่า หรือถูกน้ำท่วมมาก่อนมั้ย (flood) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ซื้อรถยนต์มือสองต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน แล้วเมื่อพิจารณาดีแล้ว ก็ควรขอทดลองขับ (test drive) ดูด้วย ว่ารถคันที่เราสนใจขับขี่เป็นอย่างไรบ้าง และใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ (make a decision) ก่อนจะทำสัญญาซื้อขายต่อไป
ทีนี้ พอเลือกคันที่ใช่ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นขั้นตอนการซื้อขาย โดยอาจเป็นการเจรจาต่อรอง (negotiation) กับเจ้าของรถ (car’s owner) โดยตรง หรือเจรจาผ่านกับพนักงานขายรถยนต์มือสอง (used car sales person)ตามศูนย์รวมรวบรถยนต์มือสองก็ได้ สิ่งที่ผู้ซื้อรถยนต์มือสองจะต้องคำนึงถึงก็ไม่แตกต่างจากการซื้อรถยนต์มือหนึ่งเท่าไหร่ค่ะ เริ่มจาก เราจะซื้อรถด้วยเงินสด (pay by cash) หรือว่าจะซื้อแบบเงินผ่อน (installment) การซื้อแบบเงินสดก็ไม่ยุ่งยาก จ่ายแล้วจบกันไป แต่ถ้าซื้อแบบเงินผ่อนจะมีขั้นตอนเยอะขึ้นหน่อย และอาจต้องรับภาระดอกเบี้ย (interest) เพิ่มขึ้นจากยอดซื้อด้วย โดยผู้ซื้อจะต้องวางเงินดาวน์ (down payment) ถ้าวางเงินเยอะ ก็เหลือยอดที่ต้องผ่อนชำระรายเดือน (monthly installment) น้อยลง
สุดท้ายนี้ เรามาลองดูวิธีการใช้ประโยคสัก 2-3 ประโยค หากเราจะสอบถามเรื่องรถยนต์มือสองกันดูบ้างค่ะ
What ‘s the price? How much does it cost? รถยนต์คันนี้ราคาเท่าไหร่
What is the mileage? รถยนต์คันนี้วิ่งมาเป็นระยะทางเท่าไหร่แล้ว
Can I have a test drive? ขอทดลองขับได้หรือไม่
และทั้งหมดที่เราอ่านมาก็ทำให้รู้จัก used car แบบไม่ useless แล้วค่ะ เห็นมั้ยคะ ภาษาอังกฤษอยู่รอบตัวเราจริงๆ ค่ะ