การใช้ Prefix – Suffix

การใช้ Prefix Suffix
Reading Time: 2 minutes

Prefix Suffix คืออะไร ?

Prefix Suffix คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อเติมแล้วจะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป

Prefix คืออะไร ?

คือ ส่วนที่เอาไว้วางหน้าคำศัพท์ ในภาษาไทยเรียกว่า อุปสรรค เมื่อเติมหน้าคำศัพท์จะทำให้ความหมายของคำนั้นมีความหมายเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ทำให้หน้าที่ของคำนั้นเปลี่ยนไป

หลักการใช้ Prefix

1. Prefix ที่มีความหมายว่า ไม่ (in-, im-, un-, non-, dis-) เช่น

disagree = ไม่เห็นด้วย

dislike = ไม่ชอบ

disconnect =ไม่เชื่อมต่อ

dissimilar = ไม่เหมือน

invisible = ซึ่งมองไม่เห็น

inconvenient = ซึ่งไม่สะดวก

incorrect = ไม่ถูกต้อง

inattention =ไม่สนใจ

impossible = เป็นไปไม่ได้

immature = ไม่มีวุฒิภาวะ

unbelievable = ไม่น่าเชื่อ

2. Prefix ที่มีความหมายในเชิงลบ คือ เลว ผิด ไม่ดี (mis-, mal-, pseudo-) เช่น

misconception = ความเข้าใจผิด

misfortune = โชคไม่ดี

malfunction = การทำหน้าที่ผิดปกติ

3. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับขนาดหรือระดับ uper- (เหนือกว่า), sur- (เหนือกว่า), sub (ต่ำกว่า), over (เกินไป) เช่น

supersonic = เร็วเหนือเสียง

over-exaggerate = พูดเกินจริง

surreal = เหนือความจริง/เหมือนฝัน

4. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับลำดับ pre- (ก่อน), fore (ก่อน), post (หลัง), re (ทำซ้ำ) เช่น

preorder = สั่งของล่วงหน้า

forecast = ทำนาย

pre-test = การทดสอบก่อนเรียน

post-test = การทดสอบหลังเรียน

recycle = นำมาใช้ซ้ำ

5. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับจำนวน uni- (หนึ่ง), bi-(สอง), tri-(สาม), multi-(หลากหลาย) เช่น

unicorn = ม้าเขาเดียว

bi-lingual = สองภาษา

trilingual = สามภาษา

multi-color = หลากสี

กฎการเพิ่ม Prefixese

1. ไม่ควรเปลี่ยนตัวสะกดของคำศัพท์ที่ต้องการใส่ prefixes เข้าไป เช่น disappear (dis+appear), unhappy (un+happy) และ undo (un+do) จะเห็นได้ว่าทุกคำที่ใส่คำนำหน้าเข้าไปต้องสะกดเหมือนเดิม และควรปฏิบัติตามกฎนี้ทุกครั้งแม้ตัวอักษะจะซ้ำกันก็ตาม

2. ควรใส่ขีด (-) เมื่อต้องใช้ prefixes คู่กับคำนามเฉพาะ (proper noun) เช่น คำนำหน้าอย่าง self- คู่กับคำนามอย่าง self-esteem หรือคำนำหน้าอย่าง ex- เมื่อหมายถึงอดีตสามี คือ ex-husband

3. นอกจากนี้ขีด (-) ยังสามารถป้องกันการอ่านออกเสียงแบบผิดๆ หรือสร้างความสับสนกับคำอื่นๆ เช่น ควรใส่ขีด (-) กับคำว่า re-cover ซึ่งแปลว่า ‘ครอบคลุมอีกครั้ง’ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับคำว่า recover ซึ่งแปลว่า ‘กู้คืน, ซ่อมแซม’ เป็นต้น

Suffix คืออะไร

คือ ส่วนที่เอาไปวางไว้ด้านหลังคำศัพท์ แล้วทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น และส่วนใหญ่จะทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไปด้วย เช่น เปลี่ยนกริยาเป็นคำนาม หรือเปลี่ยนคำนาม เป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น

หลักการใช้ Suffix

1. Noun Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำนาม (-ship, -ee, -ness, -dom, -hood, -al, -er/-or, -tion) เช่น

arrival = การมาถึง

writer = นักเขียน

population = ประชากร

friendship = ความเป็นเพื่อน

employee = ลูกจ้าง

happiness = ความสุข

kingdom = ราชอาณาจักร

childhood = วัยเด็ก

2. Verb Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำกริยา (-ate, -en,-ise/ize, -ify) เช่น

realize = ตระหนัก

identify = แสดงตัว

activate = กระตุ้น

quicken = ทำให้เร็วขึ้น

3. Adjective Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำคุณศัพท์ (-able/ible, -al, -en, -ful, -ish, -less, -ly, -ous) เช่น

useless =ไร้ประโยชน์

daily = รายวัน

famous = ที่มีชื่อเสียง

flexible = ที่ยืดหยุ่นได้

formal = อย่างเป็นทางการ

golden = ทำด้วยทอง

useful = มีประโยชน์

British = เกี่ยวกับอังกฤษ

4. Adverb Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นกริยาวิเศษณ์ (-ly, -ward, -wise) เช่น

easily = อย่างง่ายดาย

upwards = ขึ้นไปทางเหนือ

clockwise = ตามเข็มนาฬิกา

กฎการใช้ Suffixes

1. ไม่ว่าจะเป็น Prefixes หรือ Suffixes คำศัพท์ที่ถูกใช้ด้วยนั้นมักจะสะกดไว้อย่างเดิมเสมอ

2. เมื่อต้องเติม Suffixes หากคำเดิมเป็นเพียงพยางค์เดียวและลงท้ายด้วยพยัญชนะตัวเดียว ให้เพิ่มตัวอักษรสุดท้ายเป็นสองเท่า เช่น tip เมื่อเติมคำลงท้ายจะกลายเป็น ‘tipping’ หรือ ‘tipped’ ส่วน run จะกลายเป็น ‘running’เป็นต้น 

 

Related Posts