Prefix Suffix คืออะไร ?
Prefix Suffix คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อเติมแล้วจะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป
Prefix คืออะไร ?
คือ ส่วนที่เอาไว้วางหน้าคำศัพท์ ในภาษาไทยเรียกว่า อุปสรรค เมื่อเติมหน้าคำศัพท์จะทำให้ความหมายของคำนั้นมีความหมายเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ทำให้หน้าที่ของคำนั้นเปลี่ยนไป
หลักการใช้ Prefix
1. Prefix ที่มีความหมายว่า ไม่ (in-, im-, un-, non-, dis-) เช่น
disagree = ไม่เห็นด้วย
dislike = ไม่ชอบ
disconnect =ไม่เชื่อมต่อ
dissimilar = ไม่เหมือน
invisible = ซึ่งมองไม่เห็น
inconvenient = ซึ่งไม่สะดวก
incorrect = ไม่ถูกต้อง
inattention =ไม่สนใจ
impossible = เป็นไปไม่ได้
immature = ไม่มีวุฒิภาวะ
unbelievable = ไม่น่าเชื่อ
2. Prefix ที่มีความหมายในเชิงลบ คือ เลว ผิด ไม่ดี (mis-, mal-, pseudo-) เช่น
misconception = ความเข้าใจผิด
misfortune = โชคไม่ดี
malfunction = การทำหน้าที่ผิดปกติ
3. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับขนาดหรือระดับ uper- (เหนือกว่า), sur- (เหนือกว่า), sub (ต่ำกว่า), over (เกินไป) เช่น
supersonic = เร็วเหนือเสียง
over-exaggerate = พูดเกินจริง
surreal = เหนือความจริง/เหมือนฝัน
4. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับลำดับ pre- (ก่อน), fore (ก่อน), post (หลัง), re (ทำซ้ำ) เช่น
preorder = สั่งของล่วงหน้า
forecast = ทำนาย
pre-test = การทดสอบก่อนเรียน
post-test = การทดสอบหลังเรียน
recycle = นำมาใช้ซ้ำ
5. Prefix ที่มีความหมายเกี่ยวกับจำนวน uni- (หนึ่ง), bi-(สอง), tri-(สาม), multi-(หลากหลาย) เช่น
unicorn = ม้าเขาเดียว
bi-lingual = สองภาษา
trilingual = สามภาษา
multi-color = หลากสี
กฎการเพิ่ม Prefixese
1. ไม่ควรเปลี่ยนตัวสะกดของคำศัพท์ที่ต้องการใส่ prefixes เข้าไป เช่น disappear (dis+appear), unhappy (un+happy) และ undo (un+do) จะเห็นได้ว่าทุกคำที่ใส่คำนำหน้าเข้าไปต้องสะกดเหมือนเดิม และควรปฏิบัติตามกฎนี้ทุกครั้งแม้ตัวอักษะจะซ้ำกันก็ตาม
2. ควรใส่ขีด (-) เมื่อต้องใช้ prefixes คู่กับคำนามเฉพาะ (proper noun) เช่น คำนำหน้าอย่าง self- คู่กับคำนามอย่าง self-esteem หรือคำนำหน้าอย่าง ex- เมื่อหมายถึงอดีตสามี คือ ex-husband
3. นอกจากนี้ขีด (-) ยังสามารถป้องกันการอ่านออกเสียงแบบผิดๆ หรือสร้างความสับสนกับคำอื่นๆ เช่น ควรใส่ขีด (-) กับคำว่า re-cover ซึ่งแปลว่า ‘ครอบคลุมอีกครั้ง’ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับคำว่า recover ซึ่งแปลว่า ‘กู้คืน, ซ่อมแซม’ เป็นต้น
Suffix คืออะไร
คือ ส่วนที่เอาไปวางไว้ด้านหลังคำศัพท์ แล้วทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น และส่วนใหญ่จะทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไปด้วย เช่น เปลี่ยนกริยาเป็นคำนาม หรือเปลี่ยนคำนาม เป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น
หลักการใช้ Suffix
1. Noun Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำนาม (-ship, -ee, -ness, -dom, -hood, -al, -er/-or, -tion) เช่น
arrival = การมาถึง
writer = นักเขียน
population = ประชากร
friendship = ความเป็นเพื่อน
employee = ลูกจ้าง
happiness = ความสุข
kingdom = ราชอาณาจักร
childhood = วัยเด็ก
2. Verb Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำกริยา (-ate, -en,-ise/ize, -ify) เช่น
realize = ตระหนัก
identify = แสดงตัว
activate = กระตุ้น
quicken = ทำให้เร็วขึ้น
3. Adjective Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นคำคุณศัพท์ (-able/ible, -al, -en, -ful, -ish, -less, -ly, -ous) เช่น
useless =ไร้ประโยชน์
daily = รายวัน
famous = ที่มีชื่อเสียง
flexible = ที่ยืดหยุ่นได้
formal = อย่างเป็นทางการ
golden = ทำด้วยทอง
useful = มีประโยชน์
British = เกี่ยวกับอังกฤษ
4. Adverb Suffix คือ suffix ที่เติมแล้วทำให้คำนั้นเป็นกริยาวิเศษณ์ (-ly, -ward, -wise) เช่น
easily = อย่างง่ายดาย
upwards = ขึ้นไปทางเหนือ
clockwise = ตามเข็มนาฬิกา
กฎการใช้ Suffixes
1. ไม่ว่าจะเป็น Prefixes หรือ Suffixes คำศัพท์ที่ถูกใช้ด้วยนั้นมักจะสะกดไว้อย่างเดิมเสมอ
2. เมื่อต้องเติม Suffixes หากคำเดิมเป็นเพียงพยางค์เดียวและลงท้ายด้วยพยัญชนะตัวเดียว ให้เพิ่มตัวอักษรสุดท้ายเป็นสองเท่า เช่น tip เมื่อเติมคำลงท้ายจะกลายเป็น ‘tipping’ หรือ ‘tipped’ ส่วน run จะกลายเป็น ‘running’เป็นต้น