การสอบฟังใน IELTS นั้นจะมีทั้งหมด 4 ส่วน (section) มีคำถามทั้งหมด 40 คำถาม มีเวลาทั้งหมด 40 นาที โดยเป็นการฟัง 30 นาที และที่เหลือเป็นเวลาสำหรับเขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ แต่ถ้าสอบแบบคอมพิวเตอร์ก็จะใช้เวลาน้อยลงหน่อย เนื่องจากไม่ต้องนำคำตอบที่เราจดโน้ตไว้ในกระดาษคำถามไปใส่เป็นคำตอบในกระดาษคำตอบ เพราะแบบคอมก็คือพิมพ์คำตอบตอนฟังได้เลย
สำหรับประเภทคำถามนั้น ได้แก่ form completion (เติมคำในแบบฟอร์ม) note completion (เติมคำในโน้ต) summary completion (เติมคำในการสรุปเนื้อหา) sentence completion (เติมคำในประโยคให้สมบูรณ์) multiple choice (คำถามแบบมีหลายตัวเลือก a b c) diagram labelling (เติมคำในแผนภาพให้สมบูรณ์) map labelling (เติมคำในแผนที่ให้สมบูรณ์) เป็นต้น
คราวนี้เราจะมาดูเนื้อหาทีละ section กัน เริ่มจาก Section 1 ซึ่งเป็นส่วนที่ง่ายที่สุด จะเป็นการสนทนาระหว่างคน 2 คน เช่น พนักงานกับลูกค้า เป็นการสนทนาในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อขายของ หรือการสอบถามเกี่ยวกับบริการต่างๆ บ่อยครั้งคำถามจะเป็นการเติมคำในแบบฟอร์ม เช่น แบบฟอร์มสมัครใช้บริการห้องสมุด สิ่งที่จะต้องเติมในแบบฟอร์มมักเป็นชื่อ วันที่ เวลา สถานที่ เบอร์โทรศัพท์ รหัสไปรษณีย์
ตัวอย่างคำถาม IELTS Listening Section 1
You will hear a telephone conversation between a customer and an agent at a company which ships large boxes overseas.
Question 1-8
Complete the form below.
Write NO MORE THAN THREE WORDS AND/OR A NUMBER for each answer.
Peckham’s Shipping Agency – customer quotation form
Example
Country of destination: Kenya
Name: Jacob 1….
Address to be collected from 2…….College, Downlands Rd.
TownL Bristol
Postcode: 3…..
คำถามนี้จะเป็นการเติมคำในแบบฟอร์ม จะมีเวลาให้ดูแบบฟอร์ม นักเรียนอาจนึกล่วงหน้าว่าคำตอบที่เติมในแต่ละช่องว่าควรเป็นอย่างไร เช่น ถ้าถึง postcode ก็ต้องนึกถึงตัวเลข แต่ postcode ของบางประเทศจะมีตัวหนังสือด้วย เช่น SE87U หรือต้องช่องน้ำหนักส่วนสูงก็ต้องตอบเป็นตัวเลข
สิ่งที่ควรรู้ ข้อควรระวังในการสอบ IELTS Listening Section 1
1. อ่านโจทย์ตรง Write no more than…
ให้แน่ชัดว่าต้องเติมคำไม่เกินกี่คำ เช่น 1 2 หรือ 3 คำ ถ้าเกินกว่านั้นก็จะถือว่าผิด แม้จะนำคำตอบมาจากถูกที่ก็ตาม เช่น โจทย์นี้ให้เติมคำตอบไม่เกิน 1 คำ
Benefits for members: __________, 0% instalment plan, special birthday gifts
เนื้อหาที่ฟังพูดว่า Our members enjoy special privileges such as 10% discounts on every purchase, a 0%-interest plan and special gifts for their birthdays.
จะเห็นได้ว่าเนื้อหาที่ฟังคือ 10% discounts ซึ่งเกิน 1 คำ ในกรณีนี้ให้เลือกนำคำหลักคือคำที่อยู่ขวาสุด นั่นคือ discounts เพราะคำที่อยู่หน้าจะเป็นแค่คำขยายความ
2. เนื้อหาที่ฟังกับเนื้อหาที่เจอในโจทย์จะใช้คำหรือโครงสร้างประโยคไม่เหมือนกัน แต่ใจความเหมือนกัน
หรือคือการ paraphrase นั่นเอง อยากเช่นในข้อ 1 ขณะที่เรามองคำถามในโจทย์ เราก็อาจจะพยายามนึก synonym หรือคำที่เขียนไม่เหมือนกันแต่มีความหมายเหมือนกันกับอีกคำ เช่น quick กับ fast ที่แปลว่าเร็ว อย่างในข้อ 1 ในโจทย์มีคำว่า benefit สิทธิ์ประโยชน์ เราอาจนึกถึงคำที่คล้ายๆ กันที่ใช้กับลูกค้าได้ เช่น privilege สิทธิพิเศษ exclusive offer ข้อเสนอพิเศษ เพื่อช่วยให้เราฟังได้ยินคำที่อาจเป็นคำตอบได้ง่ายขึ้น
3. ถ้าได้ยินทั้งคำนามและ preposition เช่น at the restaurant ควรนำทุกคำมาเขียนในคำตอบไหม
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของคำถาม หากเป็นการเติมประโยคให้สมบูรณ์ เช่น The event takes place______.
ก็ต้องนำทุกคำ at the restaurant มาเติม เพราะมิฉะนั้นประโยคจะไม่สมบูรณ์ และไม่ถูกต้องตามหลักแกรมม่า
แต่ถ้าหากเป็นการเติมคำในแบบฟอร์ม หรือตาราง เช่น
Event venue:
ในกรณีนี้ให้ใส่แค่คำว่า restaurant
4. ห้ามสะกดผิด
เช่น เนื้อหาที่ฟังพูดว่า books เราก็ต้องใส่ตัว s ด้วยถ้า แค่ book คือผิด
5. โจทย์ใน part 1 มักจะนำคำที่มีเสียงคล้ายๆ กันมาหลอก
เช่น H กับเลข 8 จะเห็นได้ว่าสองคำนี้ออกเสียงเกือบคล้ายกันยกเว้นตัวลงท้าย เสียงตัว H ลงท้ายด้วยเสียงที่คล้ายๆ ตัวช ช้าง แต่ eight จะลงท้ายด้วยเสียง t และตัวเลขต่างๆ เช่น thirty กับ thirteen และเลขที่มี ty และ teen อื่นๆ
6. ตัวหลอก
เช่น หากมีคนสองคนคุยกันว่านัดเจอกันกี่โมง เช่น
A: When do you think we can meet up for a talk?
B: Is Tuesday evening at 12 pm okay for you?
A: Yes, sure
B. Alright. See you then.
A: Oh wait, I just remembered that I have a dentist appointment. Can we make it 2 pm instead?
ถ้าเราฟังถึงแค่ A บรรทัดที่สามแล้วตอบเป็น 12 pm เลยก็จะผิด เพราะถ้าฟังไปอีกนิดก็จะพบว่ามีการเปลี่ยนเวลาขึ้น