IGCSE ESL REVIEW
ข้อสอบ IGCSE ESL มีสองระดับให้เลือกระหว่างแบบ Core หรือ แบบ Extend และ 2 Syllabus ให้เลือกระหว่าง Syllabus 0510 (speaking endorsement) หรือ Syllabus 0511 (count-in speaking)
ระดับความยากง่ายของสองแบบนี้ไม่เท่ากันโดยแบบ Core จะง่ายกว่า Extend เนื้อหาและบทความของสองแบบนี้มีเหมือนกันแต่แตกต่างกันตรงที่คำถาม วิธีตอบ และระยะเวลาในการสอบ คำถามของแบบ Extend จะเหมือนกับแบบ Core แต่แบบ Extend จะเพิ่มคำถามมาอีกและคำถามที่เพิ่มขึ้นมาจะยากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนวิธีการตอบนั้นสองแบบนี้จะต่างกัน เช่น ในคำถามเดียวกัน แบบ Core จะให้เขียน summary (สรุปความ) 70-80 คำ ในขณะที่แบบ Extend จะให้เขียนมากกว่าคือ 100-120 คำ นอกจากนี้ระยะเวลาในการทำข้อสอบนั้น แบบ Core จะให้เวลาทำทั้งหมด 1 ชั่วโมง 30 นาที ในขณะที่แบบ Extend ให้เวลาทำทั้งหมด 2 ชั่วโมงเพราะแบบ Extend นั้นจำนวนข้อจะมากกว่า
ส่วนเรื่อง syllabus ที่ให้เลือกนั้นก็คือแค่เป็นการให้เลือกว่าอยากให้คิดคะแนนแบบไหน แบบ speaking endorsement นั้นส่วนของการทดสอบ speaking จะคิดคะแนนแยกออกมาจากส่วนอื่นๆคือแค่ผลออกมาว่า grade 1 (high)ถึง 5 (low) จะไม่รวมในคะแนน 100% ส่วน count-in speaking นั้นส่วนของการทดสอบ speaking จะคิดคะแนนรวมในคะแนน 100% นั้นด้วย
ข้อสอบ IGCSE ESL มี 3 ส่วนด้วยกันคือ
1. Reading and writing question paper
ส่วนนี้จะแบ่งเป็น 7 exercises ด้วยกัน
Exercise 1-2 จะทดสอบ reading ให้ตอบคำถามสั้นๆซึ่งการตอบนั้นไม่ต้องเป็นประโยคเต็ม ให้ตอบสั้นๆใช้ไม่กี่คำก็ได้และสามารถดึงคำจากในบทความมาตอบก็ได้ คำถามใน Exercise 1-2 จะเรียงตามลำดับเนื้อหาของบทความแต่ยกเว้นข้อสอบแบบ Extend ที่ Exercise 2 ในคำถามสุดท้าย ผู้ทำข้อสอบต้องกลับไปดูเนื้อหาทั้งหมดของบทความเพื่อจะตอบข้อสุดท้ายนี้ได้
Exercise 3 จะทดสอบทั้ง reading และ writing โดยจะให้บทความมาและคำถามจะมาในรูปแบบให้กรอกแบบฟอร์ม ที่ให้มีการตอบสั้นๆและจะมีสั่งให้ ‘Tick’, ‘Underline’, ‘Circle’, and ‘Delete’ บ้าง ข้อควรระวังเวลาตอบในส่วนนี้คือต้องนึกอยู่เสมอว่าเราเป็นคนกรอกแบบฟอร์มเองเพราะฉะนั้นต้องใช้ประธานเป็น ‘I’ หรือ ‘we’ เท่านั้น ถ้าใช้ ‘he’, ‘she’ หรือ ‘they’ จะไม่ได้คะแนน นอกจากนี้ section สุดท้ายของ Exercise 3 นี้ให้เขียนตอบเป็นประโยคที่ ‘accurate’ (แม่นยำ) ‘accurate’ ที่ว่านี้หมายถึงต้องเริ่มประโยคด้วยการใช่ capital letters จบประโยคด้วยการใส่ full stop เขียนประโยคให้สมบูรณ์ให้มี subject และ verb ที่ชัดเจน และอย่าขึ้นต้นประโยคด้วยการใช้ ‘and’, ‘but’ หรือ ‘because’ ใน section สุดท้ายนี้แบบ Core จะให้เขียนตอบ 2 ประโยคในขณะที่แบบ Extend ให้เขียนตอบประโยคเดียว
Exercise 4 นั้นทดสอบทักษะการ ‘making notes’ จะมีบทความมาให้อ่านหลังจากนั้นจะมีคำถามซึ่งให้ตอบในลักษณะ bullet points การตอบนั้นให้ตอบสั้นๆไม่จำเป็นต้องเป็นประโยคสมบูรณ์แต่ก็ต้องมี key information ที่ครบท่วน
Exercise 5 นั้นทดสอบทักษะ summarising การเขียนตอบนั้นให้ร้อยเรียงประโยคให้เชื่อมกันจนกลายเป็นย่อหน้าและพยายามใช้การถอดความให้เป็นภาษาของตัวเองโดยพยายามหลีกเลี่ยงการลอกจาก text แบบ Core นั้นจะให้ summarise จากบทความที่ใช้ใน Exercise 4 ในขณะที่แบบ Extend จะให้ summarise จากบทความที่ให้มาใหม่ ทั้งนี้ในส่วนนี้ควรอ่านคำถามให้ดีก่อนว่าเขาให้ summarise อะไรบ้างจากบทความและให้เขียนกี่คำ โดยแบบ Extend นั้นจะให้เขียนจำนวนคำมากกว่าแบบ Core
Exercise 6-7 ทดสอบทักษะ writing การเขียนตอบนั้นให้เขียนมากกว่า 1 ย่อหน้าโดย Exercise 6 นั้นจะเป็นการเขียนแบบ ‘informal’ เช่นการเขียนจดหมายหาเพื่อน และเนื้อหาที่ให้เขียนนั้นก็ต้องตามที่คำถามในข้อสอบกำหนดให้ ส่วน Exercise 7 นั้นเป็นการเขียนเพื่อแสดลงความคิดเห็น การเขียนตอบนั้นต้องประกอบไปด้วยย่อหน้าของ introduction หนึ่งย่อหน้าต่อหนึ่ง idea ใน middle section และย่อหน้าของ conclusion ในย่อหน้าแรกต้องระบุเลยว่าเราจะเขียนในมุมมองเดียวว่า ‘for ’ หรือ ‘against’ กับ topic ที่เขาให้มา หรือ ทั้งสองมุมมองว่าทั้ง ‘for’ และ ‘against’ ถ้าเขียนในมุมมองทั้ง ‘for’ และ ‘against’ ก็ควรเขียนความคิดเห็นของเราเองลงในย่อหน้าสุดท้ายด้วย การแสดง idea ของเราเองและต่อยอด idea จากที่เขากำหนดมาให้จะช่วยให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้น
2. Listening question paper
ลักษณะการสอบจะมีการให้ฟังการสนทนาสั้นๆ และบทสนทนายาวที่เป็นในลักษณะบทสัมภาษณ์ บทสนทนาทุกตัวจะให้ฟังสองรอบ การเขียนตอบก็จะเป็นในลักษณะเขียนตอบสั้นๆและเติมคำ ข้อควรระวังสำหรับการเขียนเติมคำคือถ้าคำตอบเป็นตัวเลขที่มีมาตราวัดด้วยต้องเขียนมาตราวัดนั้นเช่น kilos, $, metres, tones ไปด้วย อย่าเขียนเป็นตัวเลขอย่างเดียว แบบ Core และแบบ Extend บทสนทนาจะเหมือนกันแต่คำถามจะต่างกันเล็กน้อย วิธีการให้ตอบในบางข้อก็จะไม่เหมือนกัน เช่น บทสนทนานี้ แบบ core จะให้ตอบลักษณะให้เลือก True หรือ False ในขณะที่ แบบ Extend เป็นบทสนทนาเดียวกันแต่ให้ตอบในลักษณะเขียนคำตอบสั้นๆ
3. Speaking test or tasks
ในส่วนนี้จะทดสอบทักษะการพูดด้วยการสนทนาตัวต่อตัวกับ examiner ขั้นตอนแรกจะเป็นการสนทนาแบบ warm up ก่อนซึ่ง examiner จะพูดคุยเรื่องทั่วไปกับผู้เข้าสอบเพื่อให้ผู้เข้าสอบคลายความตื่นเต้น ช่วง warm up นี้จะยังไม่มีการคิดคะแนน จากนั้น examiner ก็จะอธิบายขั้นตอนการสอบและหลังจากนั้นจะเลือก topic card ให้ ถ้าผู้เข้าสอบมีข้อสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการสอบควรจะถาม examiner ก่อนได้รับ topic card ผู้เข้าสอบมีเวลา 2-3 นาทีในการดู topic card และเตรียมว่าจะพูดอะไรโดยไม่มีการให้ take note ถ้ามีคำถามอะไรเกี่ยวกับ topic card ก็สามารถถาม examiner ได้
Topic ที่มีในการสอบนั้นล้วนเป็น topic ทั่วไปที่ผู้เขาสอบสามารถพูดถึงได้ จุดประสงค์ของการสอบนี้ไม่ได้ทดสอบว่าผู้เข้าสอบรู้เรื่องเกี่ยวกับ topic ที่ได้มามากน้อยขนาดไหน แต่จะทดสอบว่าผู้เข้าสอบสามารถสร้างการสนทนาเกี่ยวกับ topic นี้ ได้ดีขนาดไหน
การสอบนี้ไม่ได้ให้ผู้เข้าสอบพูดตอบแบบสุนทรพจน์ (speech) แต่จะให้ตอบในลักษณะพูดคุยธรรมดากับ examiner มากกว่า ซึ่ง examiner จะดู vocabulary , structure และ fluency ของผู้เข้าสอบและยิ่งผู้เข้าสอบทำให้การสอบเป็นการสนทนาที่ดีและสนุก(good chat) กับ examiner ได้มากเท่าไร การสอบ speaking ในครั้งนั้นก็จะดีไปด้วยเพราะฉะนั้นควรจะ relax และไม่ต้องกังวล